ชื่อแผน: D Health Plus (ไม่มีค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ)

รีวิวประกัน D-Health จากเมืองไทยประกันชีวิต โดยคุณก้อย

Q: อยากให้คุณก้อยช่วยแนะนำตัวสักนิดนึงค่ะ พร้อมบอกคร่าวๆว่าตอนนี้ทำประกันตัวไหนอยู่?
A: สวัสดีค่ะ ชื่อก้อยนะคะ ตอนนี้อายุ 35 ปี เป็นพนักงานออฟฟิศตำแหน่งเลขาผู้บริหารค่ะ ตอนนี้หลักๆ จะใช้สวัสดิการประกันสุขภาพของออฟฟิศเป็นหลักค่ะ แต่ว่าตัวเองก็เพิ่งซื้อประกัน D-Health จากเมืองไทยประกันชีวิตเพิ่มขึ้นมาด้วยเผื่อไว้


Q: ทำไมคุณก้อยถึงเลือกซื้อประกัน D-Health เพิ่มคะ? ทั้งๆที่ก็มีประกันออฟฟิศอยู่แล้ว?
A: จริงๆตัวประกันออฟฟิศที่มีก็ไม่ได้ขี้เหร่เท่าไหร่ เพราะว่าถ้าหากเจ็บป่วยไปหาหมอ รพ. เอกชน แล้วหมอจ่ายยากลับบ้านก็เบิกได้ตลอดครั้งละ 1,200 บาท แต่ที่ติดคือตัวความคุ้มครองหากต้องเข้าโรงพยาบาลให้ไม่ค่อยสูงเลย คือค่ารักษาผู้ป่วยใน 30,000 บาท/ครั้ง ค่าห้อง 1,200 บาท/คืน ถ้าเป็นอะไรจริงๆ ไม่พอแน่ๆ  ก้อยก็เลยกังวลว่าอาจจะมีเงินจ่ายไม่พอถ้าหากเจ็บป่วยต้องนอนโรงพยาบาลขึ้นมาจริงๆ เพราะโรงพยาบาลที่ไปประจำก็เป็นโรงพยาบาลเอกชนด้วย 

อีกอย่างก็ด้วยอายุอานามก้อยก็ไม่น้อยแล้วก็มองยาวๆถึงตอนเกษียณด้วยค่ะ ประกันออฟฟิศเนี่ยพอเกษียณเขาก็ไม่คุ้มครองแล้ว ก็เลยมองหาประกันที่สามารถเข้ามาเสริมแล้วก็สามารถคุ้มครองได้ยาวๆจนแก่ค่ะ


Q: อืมม แล้วตอนเลือกประกันคุณก้อยเลือกยังไงคะ ทำไมถึงมาลงเอยที่ D-Health ได้?
A: พูดตามตรงก้อยเลือกปรึกษารุ่นพี่ที่เป็นนายหน้าประกันชีวิตค่ะ เพราะเรื่องประกันก็ออกจะวุ่นวายเข้าใจยากสำหรับก้อย พี่เค้าแนะนำว่าถ้าก้อยอยากได้ประกันสุขภาพแบบตัวเดียวจบ ไม่ต้องคิดมาก จะเหมาะกับพวกประกันเหมาจ่ายมากกว่า เค้าก็เอามาให้เลือกหลายแผน หลายเจ้ามากค่ะ 

คือก้อยเลือกอยู่นานมากตั้งแต่ต้นปี จริงๆ คือมีในใจอยู่แล้วว่าจ่ายเบี้ยได้ประมาณไม่เกิน 20,000 บาทต่อปีและอยากได้ทุนความคุ้มครอง 2-5 ล้านบาท แต่ไม่ตรงกับที่แต่ละเจ้าเสนอขายเท่าไหร่นัก ณ ราคาที่ก้อยจ่ายได้ ความคุ้มครองมักจะน้อยเกินกว่าที่จะคุ้มครองยาวๆไปแบบไม่ต้องกังวลได้

จุดที่ตัดสินใจเลือกตัวนี้คือค่าห้องที่ไม่จำกัดนี่แหละ เพราะก้อยหาหมอที่โรงพยาบาลเอกชนเป็นประจำอยู่แล้ว และมองว่าค่าโรงพยาบาลก็มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นทุกปีๆ ก้อยก็กะเกณฑ์ไม่ได้หรอกว่าค่าห้องมันจะเท่าไหร่ ก็เลยอยากได้แบบที่ไม่จำกัด ทีนี้แพ็คเกจที่มีค่าห้องลักษณะนี้จะเหลือแค่ของเมืองไทยตัวใหม่นี้ กับประกันเจ้าสีส้ม พอมาดูที่ราคาเบี้ย ตัวนี้ตอบโจทย์กว่ามากสำหรับก้อย ได้ทุนสูงกว่าที่ 5 ล้านบาท ในขณะที่เบี้ยอยู่ในช่วงที่ก้อยคิดไว้ประมาณ 20,000 บาท พอดีเลยค่ะ


Q: เห็นว่าแผนนี้จะมีจุดเด่นที่มีค่าใช้จ่ายส่วนแรก เพราะอะไรคุณก้อยถึงเลือกแบบไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนแรกคะ?
A: ตอนแรกพี่นายหน้าเค้าแนะนำตัวที่มี deductible หรือ ค่าใช้จ่ายส่วนแรก 30,000 บาท เพราะก้อยมีประกันกลุ่มบริษัทที่สามารถนำมาเบิกได้ก่อนพอดี และทำให้ค่าเบี้ยลดลงมาได้พอสมควรเลยด้วย แต่ก็กลับมาที่โจทย์แรกของก้อยอะค่ะ ว่าอยากได้แบบจ่ายยาวไปไม่คิดมาก ถ้าตอนก้อยเกษียณ หรือจุดที่เปลี่ยนงานแล้วไม่มีสวัสดิการบริษัทคุ้มครอง ก้อยจะยังมีประกันนี้คุ้มครองเต็มที่ไม่ต้องควักเงินจ่ายเพิ่มใดๆ ก็เลยตกลงกันได้ที่แบบไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนแรกค่ะ


Q: คุณก้อยเคยลองใช้ประกันตัวนี้รึยังคะ?
A: ยังเลยค่ะ เพราะว่าตัวนี้เพิ่งออกมาช่วงเดือนกรกฎาคม พี่นายหน้าเค้ารีบแจ้งมาเลยเพราะเราคุยกันไว้ว่าอยากได้ประมาณนี้อยู่แล้ว ก้อยก็ซื้อเลยค่ะ ขี้เกียจคิดแล้ว 555 ซื้อมาได้เดือนกว่าๆ ค่ะ แต่พี่นายหน้าเค้าบรีฟมาว่าช่วงเดือนแรกถึง 120 วันภาวนาให้ไม่มีปัญหาสุขภาพดีกว่าค่ะ เพราะยังอยู่ในช่วงระยะเวลารอคอยอยู่ เบิกไม่ได้ค่ะ

พี่เรนนี่และทีมงานเว็บไซต์รีวิวประกัน ขอขอบคุณคุณก้อยที่มาบอกเล่าประสบการณ์การเลือกซื้อประกันสุขภาพ D-Health จากเมืองไทยประกันชีวิต ที่ชาวออฟฟิศเป็นต้องยิ้มเพราะเข้าใจง่าย จะทำคู่กับสวัสดิการที่มียิ่งเวิร์คใหญ่ และถ้าหากคุณอยากอ่านรีวิวประกันตัวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ก็สามารถเข้ามาอ่านเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์รีวิวประกันได้เลยนะคะ