remove_red_eye2.2K Views

4 หลุมพรางประกัน ที่คุณควรหลีกเลี่ยง

โพสต์วันที่ 08/10/2020
สวัสดีครับ นานๆจะเจอกันซักทีเพราะพี่เรนนี่ก็ขยันเขียนบทความแบบไม่ยั้งมือ แต่วันนี้พี่แมนจะขอเล่าบ้างนะครับ

พี่แมนได้มีโอกาสให้คำปรึกษาเรื่องการบริหารเงินและบริหารหนี้ให้กับหลายๆคน ก็พบว่ามีกลุ่มคนอีกจำนวนมากที่มองเรื่องการทำประกันว่าเป็นแค่ตัวช่วยให้อุ่นใจเวลาเกิดเหตุฉุกเฉินในชีวิต ซึ่งก็ไม่ผิดนะครับ แต่จริงๆแล้ว ประกันเป็นมากกว่านั้น โดยถือเป็น “เครื่องมือทางการเงิน” แบบหนึ่งที่มีประโยชน์ในการวางแผนการเงินเอาอย่างมาก

ถ้าเปรียบการลงทุนในตลาดหุ้นเป็น “หยาง” ที่มีความร้อนแรง คือมีโอกาสทำกำไรสูงและโอกาสขาดทุนสูงการลงทุนในประกัน ก็เปรียบเหมือน “หยิน” ที่เยือกเย็น คือการสร้างรากฐานความมั่นคงทางการเงิน ด้วยการเก็บรักษาเงินต้น


ถ้าเปรียบการลงทุนในตลาดหุ้นเป็น “หยาง” ที่มีความร้อนแรง คือมีโอกาสทำกำไรสูง แต่ก็มีโอกาสขาดทุนสูงเช่นกัน การลงทุนในประกัน ก็เปรียบเหมือน “หยิน” ที่เยือกเย็น คือการสร้างรากฐานความมั่นคงทางการเงินของเราเอาไว้ ด้วยการเก็บรักษาเงินต้น และให้ความคุ้มครองเป็นเงินก้อนในยามสุดวิสัย รวมไปถึงยังช่วยรักษาความมั่งคั่งในด้านอื่นๆของชีวิต อย่างเช่นด้านสุขภาพอีกด้วย

แต่พี่แมนจะเจอเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ที่มาปรึกษาตกหลุมพรางประกัน ทั้งแบบที่ตกหลุมพรางเพราะซื้อประกัน และตกหลุมพรางประกันเพราะไม่ซื้อประกัน อย่าเพิ่งงงนะครับ พี่แมนย่อยมาเป็น 4 แบบหลัก ๆ ไปเช็กกันเลยครับว่าเราแอบตกหลุมไหนกันบ้างรึเปล่า



1. ไม่รู้ว่าซื้ออะไรมา

หลุมพรางข้อนี้พี่แมนเห็นคนเป็นกันเยอะมากเลยกับการซื้อตามคนอื่น อย่างเวลาเพื่อนๆมาเล่าให้ฟัง หรือนั่งฟังตัวแทนประกันขายให้เพื่อน แล้วเราก็เออออ “ขอสองค่ะ” ซื้อตามไปด้วยเฉย จำเป็นรึเปล่าก็ยังไม่รู้ แบบนี้เราอาจจะได้ประกันที่ไม่ตรงกับความต้องการของเราจริงๆ แต่เป็นประกันที่ตรงกับความต้องการของเพื่อนเรามากกว่า สุดท้ายถ้าเรานึกขึ้นมาได้ ก็ต้องการจัดการเวนคืนกรมธรรม์กลางทาง ซึ่งไม่คุ้มค่าเงินที่ลงไปแน่ๆ



2. ซื้อประกันเพื่อลดภาษีอย่างเดียว

ในหลุมพรางนี้ หลายคนก็อาจจะคิดว่า “นี่ไง ผมก็ใช้ประกันมาวางแผนการเงินแล้ว” โดยการซื้อประกันเพื่อจุดประสงค์หลักในการลดภาษี ทั้งประกันออมทรัพย์, ประกันสุขภาพ และประกันบำนาญ ที่ให้สิทธิประโยชน์ช่วยลดหย่อนภาษีได้

แต่ในความเป็นจริง เราไม่ควรซื้อความคุ้มครองเต็ม max. แบบจ่ายเบี้ยโหด เพียงเพราะอยากนำเอาเรื่องการลดภาษีมาเป็นจุดประสงค์หลักในการซื้อประกัน โดยพี่แมนจะเจอว่า บางคนจะซื้อแต่ประกันออมทรัพย์ให้เต็ม แล้วไม่ซื้อประกันอย่างอื่นติดไว้เลย หรือบางคนมีการงานที่รุ่งเรืองขึ้น ก็จะซื้อแต่ประกันบำนาญกับประกันออมทรัพย์เป็นพอ โดยไม่สนใจการทำประกันในรูปแบบอื่นๆ

ทั้งที่จริงๆแล้ว ประกันสามารถทำหน้าที่ได้ทั้ง 2 แบบ นั่นก็คือ 1) เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ และ 2) เป็นการป้องกันความเสี่ยงทางด้านการเงินและสุขภาพ ทำให้ถ้าเราจัดพอร์ตการเงินให้บาลานซ์และครบถ้วนสำหรับประกันทั้งสองหน้าที่ คุณก็จะได้รับประโยชน์จากการซื้อประกันที่คุ้มค่ากับชีวิตมากกว่า



3. คิดว่าประกันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของการวางแผนทางการเงิน

อันนี้ก็จะตรงข้ามกับข้อก่อนหน้า โดยหลายๆคนอาจมีมุมมองที่ไม่ค่อยอยากจะยุ่งกับประกันซักเท่าไหร่ ตอนจัดพอร์ตการเงินเลยมองข้ามประกันไปทั้งก้อน แต่ทราบมั้ยครับว่า การวางแผนทางการเงินที่เป็นคำแนะนำจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) นั้นมี 4 ขั้นตอน นั่นก็คือ:
  1. สร้างความมั่นคง (Wealth Creation): หมายถึงการรู้หา รู้เก็บ รู้ใช้ และรู้ขยายดอกผล คิดง่ายๆก็คือการเก็บออมเงินทุนเพื่อขยายความมั่งคั่งนั่นเอง
  2. ปกป้องความมั่งคั่ง (Wealth Protection): หมายถึงการขจัดความเสี่ยงต่างๆที่อาจเกิดขึ้นและนำเงินที่คุณเก็บออมในข้อ 1 ออกจากอ้อมอกของคุณไป ในข้อนี้จะหมายรวมไปถึงการวางแผนเกษียณด้วย ซึ่งผลิตภัณฑ์ประกันต่าง ๆ จะมาตอบโจทย์ข้อนี้
  3. เพิ่มพูนความมั่งคั่ง (Wealth Accumulation): หมายถึงการนำทุนที่อดออมมาวางแผนการลงทุน ให้เติบโตแซงหน้าอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินตั้งแต่แบบความเสี่ยงสูงอย่างหุ้นต่างประเทศ ไปจนถึงผลิตภัณฑ์ความเสี่ยงต่ำอย่างตราสารหนี้ให้คุณได้เลือกสรร
  4. ส่งมอบความมั่งคั่ง (Wealth Distribution): หมายถึงการวางแผนมรดกนั่นเอง โดยจะเป็นการพิจารณาว่าตอนนี้เรามีทรัพย์สินอะไรบ้าง แล้วเราจะแบ่งให้ทายาทเท่าไหร่ ยังไง ตรงนี้ก็มีหลายวิธีในการจัดการ ตั้งแต่การโอนให้โต้งๆ ทำพินัยกรรม ไปจนถึงการทำประกันชีวิตที่ระบุชื่อผู้รับผลประโยชน์
จากทั้ง 4 ขั้นตอนที่พี่แมนอยากชี้ให้เห็นตรงนี้ จะเห็นได้เลยว่า มีเรื่องการทำประกันแทรกอยู่ถึง 2 ข้อ ทั้งการปกป้องความมั่งคั่ง และการส่งมอบความมั่งคั่ง การทำประกันจึงไม่ใช่เรื่องเล่นๆที่ควรมองข้ามเวลาวางแผนการเงินแต่อย่างใดเลยครับ



4. ล่าช้าในการวางแผนประกันชีวิต

เรื่องนี้เกิดขึ้นจากการตัดสินใจในช่วงต้นของชีวิต แต่จะส่งผลในช่วงท้ายของชีวิต การชะล่าใจ และคิดว่าไม่น่าจะเกิดเหตุสุดวิสัยขึ้นในชีวิตเร็วๆนี้ หลายๆคนจึงลืมเรื่องการวางแผนประกัน หรือเลื่อนการทำประกันออกไปเพราะคิดว่าไม่จำเป็น ทั้ง ๆ ที่หากยืดระยะเวลาออกไป เมื่อถึงวันที่จำเป็นจริง ๆ เราจะเจอปัญหา 3 อย่างนี้แน่นอน นั่นก็คือ:
  1. เบี้ยประกันแพงขึ้นตามอายุที่มากขึ้น
  2. อาจจะทำไม่ได้เพราะป่วยเป็นโรคเรื้อรัง
  3. หากเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง เช่น ป่วยเป็นมะเร็ง หรือเสียชีวิต แล้วต้องหาเงินก้อนใหญ่มาจ่ายค่ารักษา หรือทำให้ต้องขาดรายได้ ก็จะกระทบกับการเงินของครอบครัวโดยตรง
เมื่อเป็นเช่นนี้ หากคุณผู้อ่านเริ่มทำประกันกันตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะยิ่งช่วยสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับตัวคุณและครอบครัวได้ไวกว่า หากเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมาจะได้ไม่มาเสียใจในภายหลังนะครับ

เมื่อรู้และเข้าใจถึงหลุมพรางประกันทั้ง 4 ข้อนี้แล้ว ก็คงปฏิเสธไม่ได้แล้วนะครับว่า การทำประกันมีความสำคัญกับการวางแผนการเงินของชีวิตเราและครอบครัวมากจริงๆ พี่แมนก็อยากจะเชิญชวนให้คุณผู้อ่านทุกท่านลองมาศึกษาเรื่องการทำประกันเพิ่มเติมและใช้การทำประกันให้เป็นประโยชน์ เพื่อทั้งสร้างเสริม ปกป้อง และส่งมอบความมั่งคั่งให้กับคนที่คุณรักกันดีกว่านะครับ และถ้าหากคุณผู้อ่านไม่แน่ใจว่าจะเริ่มศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับประกันที่ไหน ก็สามารถเข้ามาอ่านบทความจากผู้เชี่ยวชาญของทีมงานรีวิวประกัน ที่เว็บไซต์รีวิวประกันได้เลยนะครับ
เกี่ยวกับผู้เขียน
Man
พี่แมน แห่งรีวิวประกัน หนุ่มนักคิดวัย 37 ปี อดีตหนุ่มออฟฟิศที่เก็บเงินสร้างธุรกิจส่วนตัวสำเร็จ ปัจจุบันเป็นคุณพ่อลูกสอง ภรรยาหนึ่ง พี่แมนชอบแนะนำแนวทางการจัดการเงินและหนี้ให้กับคนรอบๆตัวจากประสบการณ์ เพราะอยากให้ทุกคนมีความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องการวางแผนการเงินเพื่อทุกคนจะได้ไม่ต้องปวดหัวเพราะเรื่องเงินๆ ทองๆ

แท็กที่เกี่ยวข้อง

#ประกันสุขภาพ
#ประกันชีวิต
#ประกันออมทรัพย์
#วางแผนการเงิน
แนะนำสำหรับคุณ
เลือกประกันสุขภาพฉบับมือใหม่
9.8K view
Editor
verified_user
สิทธิการรักษาพยาบาลพื้นฐาน เหตุผลที่คุณจะไม่ตกเป็นเหยื่อเรี่ยไรค่ารักษาพยาบาล!
1K view
Editor
verified_user

ประกันที่ใกล้เคียง

Loading...
Loading...
Loading...
รอสักครู่