remove_red_eye1.4K Views
หลังโควิด...ชีวิตพนักงานออฟฟิศจะเปลี่ยนไปอย่างไร?
โพสต์วันที่ 13/06/2020
โควิดเข้ามาทำให้วิถีชีวิตของเราเปลี่ยนไปไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นคนชาติไหน ทำงานอะไร อาชีพอะไร ก็ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด 19 กันทั้งนั้น วิถีชีวิตเปลี่ยนไป มีการทำงานที่บ้านหรือ Work From Home กันส่วนใหญ่ ลุกจากที่นอนก็เปิดคอมทำงานได้เลย ทำงานไปเล่นกับสัตว์เลี้ยงไป กินข้าวไป ประชุมผ่าน Zoom หรือ Google Hangout ไป จาก 2 เดือนที่ผ่านมา โควิดได้เปลี่ยนวิถีชีวิตและวิธีการทำงานของชาวออฟฟิศไปเยอะอยุ่เหมือนกัน วันนี้พี่เรนนี่ขอรวบตึงมาเล่าให้ทุกคนฟังว่าชีวิตพนักงานออฟฟิศจะเปลี่ยนไปยังไงบ้างน้า
นอกจากนั้นพี่เรนนี่ไปเจอมาว่ามีหลายบริษัทได้ทดลองวิธีการเข้างานแบบใหม่ที่หลุดจากกรอบสัปดาห์ละ 7 วัน และเป็นที่นิยมมากในประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งก็คือการ “ทำงานอาทิตย์ละ 4 วัน วันละ 10 ชั่วโมง และหยุด 4 วันหลังจากนั้น” เช่น ทีม A ทำงาน วันจันทร์ - วันพฤหัสบดี วันละ 10 ชั่วโมง แล้วพัก 4 วัน จากนั้นทีม B ทำงานวันศุกร์ - วันจันทร์ แล้วทีม A กลับมาทำงานอีกทีวันอังคาร - วันศุกร์แบบนี้ไปเรื่อยๆ การทำงานแบบนี้จะทำให้คนที่หยุดก็มีเวลาพักนานขึ้น แต่ก็ไม่นานจนเกินไปจนต่องานไม่ติด
พี่เรนนี่ว่าตอนนี้หลายคนคงติดในการทำงานที่บ้าน ไม่ต้องเจอรถติด ได้เปล่นกับสัตว์เลี้ยง ได้ทำอาหารกินเอง มีเวลามากขึ้น แฮปปี้สุดๆ แต่ไม่ใช่แค่เราที่อยาก Work From Home ต่อนะ ตอนนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ในโลกหลายบริษัทก็ได้วางนโยบายการทำงานให้พนักงานทำงานนอกสถานที่ได้มากขึ้น และนายกประเทศนิซีแลนด์ก็ได้ออกมาบอกว่า การทำงาน 4 วัน หยุด 4 วัน สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศได้ เพราะถ้าคลายล็อกดาวน์แล้วการที่ได้หยุด 4 วัน พนักงานสามารถมีเวลาพักผ่อนและได้ไปเที่ยวอีกด้วย ทำให้พนักงานมีสมดุลในการทำงานแบบ Work Life Balance มากขึ้น นอกจากนี้ทางบริษัทอื่นๆ เช่น Facebook Amazon และ Google ยังให้พนักงานทำงานที่บ้านจนถึงเดือนตุลาคม 2563 ส่วนทาง Twitter ก็ให้ตัวเลือกกับพนักงานว่า สามารถทำงานที่บ้านได้เลยอีกด้วย
โควิดช่วยย้ำเตือนเราให้รู้ว่าการทำงาน เราต้องปรับตัวเสมอ ปรับตัวกับเพื่อนร่วมงาน การทำงาน และที่สำคัญที่สุด เราต้องปรับตัวให้เท่าทันเทคโนโลยีที่พัฒนาเสมอ ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถทำงานเท่าทันเพื่อนๆ ได้
ในมุมกลับกัน บางคนกลับกลายเป็นบ้างานแทน ทำงานไม่หยุด ตอน Work From Home ก็นั่งปั่นงานตั้งแต่ตื่นยันค่ำ ฟังแรกๆ ดูอาจจะดีแต่จริงๆ แล้วการที่ทำงานโดยไม่ได้พักมากเกินไป สุดท้ายเราก็รู้สึก Burn Out หรือ หมดไฟไปกับการทำงานเอง
เพราะฉะนั้นหลังจากเปิดโควิดแล้ว ถ้าเรายังไม่ต้องกลับเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศ ตัวเราเองก็ต้องเเบ่งเวลาให้ชัดเจน เวลาทำงานให้ทำให้เต็มที่ เวลาพักก็พัก ไม่อู้ ไม่บ้างานเกินไป ถ้าเราแบ่งเวลาได้ชัดเจน เราก็จะสร้างบาลานซ์ให้ชีวิตได้มากขึ้นแบ่งเวลาที่เดิมเคยใช้เดินทาง นั่งรถติด มาดูแลตัวเอง ออกกำลังกายตอนเช้า หรือ ทานอาหารเช้าดีๆ ซักที เราจะได้ทำงานอย่างมีความสุขไปนานๆนะจ๊ะ
ถึงแม้โควิดจะผ่านไปแล้ว แต่หลายๆ คนยังไม่ต้องกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ ยังคง Work From Home อยู่ ซึ่งมีเวลาเหลือๆ ที่จะเรียนออนไลน์ได้ พี่เรนนี่เทรนด์การพัฒนาตัวเองยังไม่ตก หมั่นหาความรู้เพิ่มเติมผ่านคอร์สออนไลน์ต่างๆ เพื่อที่วันไหนเราตกที่นั่งลำบากก็จะมีอาวุธไว้สู้กับวิกฤตนะจ๊ะ
ไม่ว่าโควิดจะทำร้ายเรา สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับเราขนาดนั้น เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เราอย่าเพิ่งยอมแพ้ ไม่ย่อท้อ ถ้าเรามุ่งมั่นและเรียนรู้ไปตลอด เดี๋ยวสักวันทุกอย่างจะกลับมาดีเอง พี่เรนนี่เป็นกำลังใจให้ทุกๆ คน ทั้งคนที่ยัง Work From Home อยู่ และอีกหลายคนที่ต้องเริ่มกลับเข้าออฟฟิศแล้ว ถึงจะต้องปรับตัวฝ่าฟันกับความเปลี่ยนแปลงยังไง ชาวออฟฟิสก็ต้องเดินหน้าต่อ ทำงานที่เรารัก ให้เจ้านายที่รักเรา หาเงินมาจ่ายค่าบ้าน ค่ารถ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าSSF ค่าประกันเด้อออ #เพราะเราเป็นคนมีค่า
Photo credit:
1. ‘Work From Home’ หรือ ‘วิธีการเข้างานแบบใหม่’ อาจจะกลายเป็นเรื่องปกติ
หลังจากช่วงโควิด ทุกๆ คนได้ผ่านการปรับตัวกันมา บางบริษัทให้พนักงานเอาคอมกลับบบ้านไป Work From Home ส่วนบางบริษัทที่พนักงานไม่สามารถเอาคอมกลับบ้านไปได้ก็จัดระดับทีม A ทีม B สลับกันทำงานแบ่งกะกันตามสะดวก เพื่อลดจำนวนคนที่เข้ามาในออฟฟิศนอกจากนั้นพี่เรนนี่ไปเจอมาว่ามีหลายบริษัทได้ทดลองวิธีการเข้างานแบบใหม่ที่หลุดจากกรอบสัปดาห์ละ 7 วัน และเป็นที่นิยมมากในประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งก็คือการ “ทำงานอาทิตย์ละ 4 วัน วันละ 10 ชั่วโมง และหยุด 4 วันหลังจากนั้น” เช่น ทีม A ทำงาน วันจันทร์ - วันพฤหัสบดี วันละ 10 ชั่วโมง แล้วพัก 4 วัน จากนั้นทีม B ทำงานวันศุกร์ - วันจันทร์ แล้วทีม A กลับมาทำงานอีกทีวันอังคาร - วันศุกร์แบบนี้ไปเรื่อยๆ การทำงานแบบนี้จะทำให้คนที่หยุดก็มีเวลาพักนานขึ้น แต่ก็ไม่นานจนเกินไปจนต่องานไม่ติด
พี่เรนนี่ว่าตอนนี้หลายคนคงติดในการทำงานที่บ้าน ไม่ต้องเจอรถติด ได้เปล่นกับสัตว์เลี้ยง ได้ทำอาหารกินเอง มีเวลามากขึ้น แฮปปี้สุดๆ แต่ไม่ใช่แค่เราที่อยาก Work From Home ต่อนะ ตอนนี้บริษัทยักษ์ใหญ่ในโลกหลายบริษัทก็ได้วางนโยบายการทำงานให้พนักงานทำงานนอกสถานที่ได้มากขึ้น และนายกประเทศนิซีแลนด์ก็ได้ออกมาบอกว่า การทำงาน 4 วัน หยุด 4 วัน สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศได้ เพราะถ้าคลายล็อกดาวน์แล้วการที่ได้หยุด 4 วัน พนักงานสามารถมีเวลาพักผ่อนและได้ไปเที่ยวอีกด้วย ทำให้พนักงานมีสมดุลในการทำงานแบบ Work Life Balance มากขึ้น นอกจากนี้ทางบริษัทอื่นๆ เช่น Facebook Amazon และ Google ยังให้พนักงานทำงานที่บ้านจนถึงเดือนตุลาคม 2563 ส่วนทาง Twitter ก็ให้ตัวเลือกกับพนักงานว่า สามารถทำงานที่บ้านได้เลยอีกด้วย
2. ต้องปรับตัว เท่าทันเทคโนโลยีตลอด
2 เดือนที่ Work From Home สิ่งแรกที่ทุกคนต้องเจอคือการใช้เทคโนโลยีมาช่วยเราทำงานให้มากขึ้น ทุกคนถูกแกมบังคับให้ใช้เทคโนโลยีมาช่วยเราทำงานมากขึ้น เพราะเราไม่สามารถมาประชุมกันต่อหน้าได้ ตอนนี้ทุกคนเลยต้องโหลด Zoom หรือ Google Hangout กันมาติดเครื่องกันแล้ว จากที่ผู้ใหญ่ในออฟิศไม่เคยใช้ Zoom เคยแต่นำเสนองานในห้องประชุม ตอนนี้ใช้ Zoom คือคล่องมากจ้าโควิดช่วยย้ำเตือนเราให้รู้ว่าการทำงาน เราต้องปรับตัวเสมอ ปรับตัวกับเพื่อนร่วมงาน การทำงาน และที่สำคัญที่สุด เราต้องปรับตัวให้เท่าทันเทคโนโลยีที่พัฒนาเสมอ ไม่เช่นนั้นเราจะไม่สามารถทำงานเท่าทันเพื่อนๆ ได้
3. ต้องแบ่งเวลาในการทำงานให้ชัดเจน
จากที่เรา Work From Home พวกเราทุกคนคงเจอปัญหาแอบอู้งาน บางทีก็ขอไปเล่นกับแมวแป้บนึง บางทีก็ขอนั่งดูทีวีหน่อยละกัน ขอเปิด Youtube ดูสักตอน ไถ Facebook สักหน่อย ทำอาหารกินสักมื้อ ซึ่งการอู้งานนี้ก็จะส่งผลเสียง่ายๆ คือ เราทำงานไม่ทัน แล้วรู้สึกไม่ดี โดนเจ้านายหรือหัวหน้าด่า ซึ่งทำให้เราเบื่อในการทำงาน แต่ถ้าเราปรับตัวเองมีวินัย ไม่อู้เยอะ ทำงานให้ทัน เราก็จะไม่ต้อโดนด่า แล้วก็ทำงานสนุกด้วยในมุมกลับกัน บางคนกลับกลายเป็นบ้างานแทน ทำงานไม่หยุด ตอน Work From Home ก็นั่งปั่นงานตั้งแต่ตื่นยันค่ำ ฟังแรกๆ ดูอาจจะดีแต่จริงๆ แล้วการที่ทำงานโดยไม่ได้พักมากเกินไป สุดท้ายเราก็รู้สึก Burn Out หรือ หมดไฟไปกับการทำงานเอง
เพราะฉะนั้นหลังจากเปิดโควิดแล้ว ถ้าเรายังไม่ต้องกลับเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศ ตัวเราเองก็ต้องเเบ่งเวลาให้ชัดเจน เวลาทำงานให้ทำให้เต็มที่ เวลาพักก็พัก ไม่อู้ ไม่บ้างานเกินไป ถ้าเราแบ่งเวลาได้ชัดเจน เราก็จะสร้างบาลานซ์ให้ชีวิตได้มากขึ้นแบ่งเวลาที่เดิมเคยใช้เดินทาง นั่งรถติด มาดูแลตัวเอง ออกกำลังกายตอนเช้า หรือ ทานอาหารเช้าดีๆ ซักที เราจะได้ทำงานอย่างมีความสุขไปนานๆนะจ๊ะ
4. เทรนด์พัฒนาตัวเองยังไม่ตก
ในช่วงโควิดหลายๆ คนได้แชร์คอร์สออนไลน์กันเยอะอยู่ ไม่ว่าจะเป็นคอร์สเฉพาะทาง ต่างๆ เช่น Data Science Marketing ไปจนถึงคอร์สธรรมะนั่งสมาธิ สอนทำอาหาร สอนออกกำลังกาย เราอาจได้ยินเรื่องราวของหลายๆ คนที่พบกับวิกฤตในช่วงโควิด และเค้ายืนยันที่จะพัฒนาต่อสู้เพื่อตัวเอง บางคนอาจได้เรียนสกิลของอาชีพใหม่ บางคนอาจมีเวลาเรียนเสริมมากขึ้น หรือหลายๆ คนก็ได้อัพสกิลทำครัว จัดบ้านกันถ้วนหน้าถึงแม้โควิดจะผ่านไปแล้ว แต่หลายๆ คนยังไม่ต้องกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ ยังคง Work From Home อยู่ ซึ่งมีเวลาเหลือๆ ที่จะเรียนออนไลน์ได้ พี่เรนนี่เทรนด์การพัฒนาตัวเองยังไม่ตก หมั่นหาความรู้เพิ่มเติมผ่านคอร์สออนไลน์ต่างๆ เพื่อที่วันไหนเราตกที่นั่งลำบากก็จะมีอาวุธไว้สู้กับวิกฤตนะจ๊ะ
5. รักษาระยะห่าง รักษาความสะอาด
ที่ลืมไม่ได้เลยก็คือเรื่องความสะอาดเนอะ แม้ว่าทุกอย่างดูเหมือนจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติมากขึ้นทุกวันแค่ไหน แต่เราก็ประมาทไม่ได้เลยเช่นกัน แม้ว่าประเทศเราไม่น่าจะมีเชื้อโดยทั่วไปแล้ว แต่เราก็ควรจะปฏิบัติตัวรักษาความสะอาดและรักษาระยะห่างให้เป็นนิสัย ไม่เว้นในออฟฟิสเหมือนกัน เพื่อที่จะหลีกหนีให้ไกลจาก Wave 2 ที่เลื่องลือให้ไกลที่สุดเนอะไม่ว่าโควิดจะทำร้ายเรา สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับเราขนาดนั้น เดี๋ยวมันก็ผ่านไป เราอย่าเพิ่งยอมแพ้ ไม่ย่อท้อ ถ้าเรามุ่งมั่นและเรียนรู้ไปตลอด เดี๋ยวสักวันทุกอย่างจะกลับมาดีเอง พี่เรนนี่เป็นกำลังใจให้ทุกๆ คน ทั้งคนที่ยัง Work From Home อยู่ และอีกหลายคนที่ต้องเริ่มกลับเข้าออฟฟิศแล้ว ถึงจะต้องปรับตัวฝ่าฟันกับความเปลี่ยนแปลงยังไง ชาวออฟฟิสก็ต้องเดินหน้าต่อ ทำงานที่เรารัก ให้เจ้านายที่รักเรา หาเงินมาจ่ายค่าบ้าน ค่ารถ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าSSF ค่าประกันเด้อออ #เพราะเราเป็นคนมีค่า
Photo credit: