remove_red_eye1.3K Views

โรคเสี่ยงสูงวัย ภัยร้ายที่ไม่ควรมองข้าม

โพสต์วันที่ 15/02/2021

คราวก่อน พี่เรนนี่แชร์เรื่องโรคเสี่ยงวัย 30 ไป วัยทำงานอย่างเราๆก็ว่าร้อนๆหนาวๆแล้ว รอบนี้เรามาดูกันบ้าง ว่าแล้วอย่างรุ่นคุณพ่อ คุณแม่ หรือที่เราแอบเรียกอย่างสุภาพว่า “ผู้สูงวัย” (ส่วนคุณพ่อคุณแม่มักชอบเรียกตัวเองให้ดูดีว่าเป็น “ส.ว.”) ที่ถึงวัยร่างกายเริ่มทรุดโทรมตามกาลเวลา ยังมีความเสี่ยงโรคอะไรที่สามารถพบเจอได้อีก

พอได้หาข้อมูลแล้ว พี่เรนนี่ถึงกับจิตตกเลยล่ะค่ะ เพราะวัยสูงอายุมีความเสี่ยงเป็นโรคต่างๆมากกว่าอีกหลายเท่า โดยแต่ละอาการก็มีความรุนแรงแถมเสี่ยงมีภาวะแทรกซ้อนไปยังโรคต่างๆ ได้อีก พอนึกว่าคุณพ่อคุณแม่เราอาจต้องเจอโรคเหล่านี้ก็ทำเอาเป็นกังวลไม่น้อย จะมีโรคอะไรที่มีโอกาสเป็นในผู้สูงอายุบ้าง แล้วสามารถรักษาได้อย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ 



โรคหลอดเลือดสมอง 

หลายๆคนน่าจะเคยได้ยินคนใกล้ตัวป่วยเป็นโรคนี้อย่างฉับพลัน จนทำให้ปากเบี้ยวหรือเป็นอัมพาตไปครึ่งซีก หนักเข้าก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยค่ะ

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เป็นภาวะผิดปกติของหลอดเลือดสมองที่ทำให้สมองขาดเลือดจนเซลล์สมองถูกทำลาย จะแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่ หลอดเลือดสมองตีบหรืออุดตัน (Ischemic Stroke) และ หลอดเลือดสมองแตก (Hemorrhagic Stroke) ส่งผลให้สมองสูญเสียการทำหน้าที่จนเกิดอาการของอัมพฤกษ์ อัมพาต หรืออาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้


อาการ

  • ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ

  • กล้ามเนื้อที่หน้าอ่อนแรง ปากเบี้ยว ไม่สามารถยิงฟันหรือยิ้มได้

  • ตามัว มองเห็นภาพซ้อนหรือเห็นครึ่งซีก หรือตาบอดข้างเดียว

  • แขนหรือขาอ่อนแรง ซีกใดซีกหนึ่ง ยกไม่ขึ้น

  • เดินเซ ทรงตัวลำบาก อาจถึงขั้นพิการได้ หากมีอาการรุนแรง


การรักษา

  • ระยะเฉียบพลัน หรือระยะ 1-2 สัปดาห์หลังจากมีอาการป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง การบำบัดฟื้นฟูในช่วงนี้ จะเริ่มในขณะที่ผู้ป่วยยังนอนอยู่บนเตียงภายหลังจากที่ล้มป่วย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการหดตัวของกล้ามเนื้อและการยึดติดของข้อต่อ และเพื่อให้ผู้ป่วยสูญเสียพละกำลังไปน้อยที่สุด เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการบำบัดฟื้นฟูในช่วงต่อไป ก่อนที่จะทำการบำบัดฟื้นฟู ผู้ป่วยจะต้องได้รับการตรวจคัดกรองจากแพทย์ เพื่อประเมินระดับการรับรู้ อาการอ่อนแรง อาการชา และระดับการเคลื่อนไหวของข้อต่อต่างๆก่อน จากนั้น แพทย์และนักกายภาพบำบัดจะกำหนดเป้าหมายในการฟื้นฟู และให้การบำบัดฟื้นฟูผู้ป่วยตามแผนที่วางไว้ต่อไป เมื่อทำการบำบัดฟื้นฟูเบื้องต้นในขั้นนี้แล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีพละกำลังกลับคืนมาเพียงพอที่จะนั่งบนเตียงได้ จึงจะทำการฝึกให้ผู้ป่วยสามารถทรงตัวในท่านั่งได้เป็นเวลานานๆ 

  • ระยะฟื้นตัว หรือระยะ 3-6 เดือนหลังจากมีอาการป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง อาการของผู้ป่วยในช่วงนี้จะเริ่มทรงตัว และสามารถนั่งเป็นเวลานานๆได้ จึงจะเริ่มทำการบำบัดฟื้นฟูที่ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูหรือแผนกกายภาพบำบัดเฉพาะทาง โดยจะทำการบำบัดฟื้นฟูอย่างเข้มข้นตามแผนการฟื้นฟูที่แพทย์กำหนดไว้ให้กับผู้ป่วยแต่ละราย 

  • ระยะทรงตัว ระยะที่พ้นจากระยะฟื้นตัวไปแล้ว โดยทั่วไปผู้ป่วยแต่ละรายจะมีการฟื้นฟูที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงแรกภายหลังจากที่ล้มป่วยใหม่ๆ แต่ในทางตรงกันข้าม หากสมรรถนะใดไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับมาเป็นปกติได้ในช่วงนี้ ก็มีโอกาสสูงที่อาการบกพร่องจะกลายเป็นความพิการติดตัวไปตลอดชีวิต ระยะทรงตัวจึงเป็นระยะที่ผู้ป่วยจะต้องทำการบำบัดอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้สูญเสียสมรรถนะที่ฟื้นฟูมาได้แล้วนั้นไปอีก เมื่อผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลกลับมาอยู่ที่บ้าน แต่ยังคงต้องทำการบำบัดฟื้นฟูที่บ้าน หรือที่สถานพยาบาลเฉพาะทางอย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต เพื่อรักษาสมรรถภาพนั้นๆ ให้คงอยู่ต่อไปค่ะ



โรคหลอดเลือดหัวใจ

ก็เป็นอีกโรคที่เป็นภัยเงียบ และน่ากลัวมากๆในหมู่ผู้สูงอายุ เพราะอาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวายและเสียชีวิตอย่างฉับได้เช่นกัน โดยโรคหลอดเลือดหัวใจเกิดจากการเสื่อมของผนังหลอดเลือดแดง ซึ่งเป็นหลอดเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ เมื่ออายุมากขึ้น หลอดเลือดหัวใจมักเสื่อมสภาพจากการที่มีคอเลสเตอรอลสะสมเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดหลอดเลือดแดงตีบแคบหรืออุดตัน และอาจทำให้เสียชีวิตได้ค่ะ


อาการ
  • ปวดเค้นที่บริเวณหัวใจ มีอาการเจ็บหนักๆ เหมือนมีอะไรมาทับหน้าอก
  • มีอาการเหนื่อย หายใจหอบนอนราบไม่ได้ แน่นอึดอัด หายใจเข้าไม่เต็มปอด
  • หน้ามืดคล้ายจะเป็นลม คลื่นไส้อาเจียน 
  • หมดสติหรือหัวใจหยุดเต้น
การรักษา
น่าเสียดายที่โรคหลอดเลือดหัวใจไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ก็มีวิธีจัดการเพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะต่างๆ ด้วยการรักษาดังต่อไปนี้:

  • การรักษาด้วยการใช้ยา
    ผู้ป่วยอาจต้องรับการรักษาโดยการใช้ยา ซึ่งมีหน้าที่ลดความดันโลหิตหรือขยายหลอดเลือดเพื่อให้การไหลเวียนและการสูบฉีดเลือดในหัวใจดีขึ้น ยาบางชนิดอาจส่งผลข้างเคียง จึงควรพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้อง ทั้งนี้ ผู้ป่วยไม่ควรหยุดใช้ยาหากไม่ได้รับการยืนยันจากแพทย์ เนื่องจากอาจทำให้อาการของผู้ป่วยแย่ลงได้ ยาที่ใช้ก็มีเช่น:
    • กลุ่มยาคอเลสเตอรอล : ช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในกระแสเลือด โดยเฉพาะในส่วนของไขมันร้ายหรือ LDL ซึ่งมักจับตัวสะสมในหลอดเลือดหัวใจ 
    • ยาต้านเกล็ดเลือด
    • ยากลุ่มเบต้าบล็อกเกอร์ ใช้รักษาความดันโลหิตสูงและป้องกันอาการเจ็บหน้าอกโดยการปิดกั้นฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต ฟื้นฟูการไหลเวียนของเลือด และลดความเสี่ยงของภาวะหัวใจวาย
    • ยาขยายหลอดเลือด มีทั้งในรูปแบบเม็ด สเปรย์ หรือแผ่นสำหรับติดบริเวณผิวหนัง ยาประเภทนี้ทำหน้าที่ลดความดันโลหิตและอาการปวดบริเวณหัวใจ แต่อาจทำให้ปวดหัวและมึนงงได้
    • ยาช่วยลดความดันโลหิต และช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
    • ยาปิดกั้นแคลเซียม ใช้ในการลดความดันโลหิตโดยช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อของผนังหลอดเลือด จึงทำให้หลอดเลือดกว้างขึ้น แต่อาจทำให้เกิดอาการปวดหัวได้
    • ยาขับปัสสาวะ ช่วยขับน้ำและเกลือส่วนเกินออกจากร่างกายผ่านปัสสาวะ
  • การรักษาด้วยการผ่าตัดและกระบวนการทางการแพทย์
ในกรณีที่หลอดเลือดหัวใจตีบและไม่สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยา ผู้ป่วยจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่ออาการที่ดีขึ้น เช่น
  • การทำบอลลูนหัวใจ เป็นกระบวนการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกหรือใช้ในการรักษาอาการฉุกเฉิน ผู้ป่วยต้องได้รับการสวนหลอดเลือดหัวใจก่อนการรักษาด้วยการทำบอลลูน เพื่อประเมินความจำเป็นในการผ่าตัด
  • การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ หรือการทำบายพาสหัวใจ การผ่าตัดชนิดนี้มักใช้กับภาวะหลอดเลือดตีบหรืออุดตัน ซึ่งไม่สามารถรักษาได้ หรือการทำบอลลูนไม่สามารถช่วยรักษาได้ ผู้ป่วยต้องได้รับการสวนหลอดเลือดหัวใจก่อนเพื่อทราบถึงความจำเป็นในการรักษา
  • การผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจโดยไม่ใช้ปอดและหัวใจเทียม (Off-Pump Coronary Artery Bypass: OPCAB) คือวิธีการรักษาที่เป็นที่นิยม มีจุดประสงค์เพื่อให้หัวใจสูบฉีดเลือดเองโดยไม่ต้องใช้ปอดหรือหัวใจเทียม ศัลยแพทย์จะต่อเส้นเลือดใหม่ข้ามผ่านจุดที่มีการอุดตันเดิม จึงทำให้กระแสเลือดไหลเวียนได้ตามปกติ กระบวนการนี้เป็นการผ่าตัดหัวใจแบบเปิด (Open-Heart Surgery) ส่วนใหญ่จึงใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีจำนวนหลอดเลือดอุดตันมากเท่านั้น
  • การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ใช้สำหรับกรณีที่รุนแรงและไม่สามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยา หรือหัวใจไม่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย ผู้ป่วยต้องเข้าพบแพทย์หลังการผ่าตัดเพื่อตรวจสอบการทำงานของหัวใจและผลข้างเคียง



โรคเบาหวาน


เป็นอีกหนึ่งโรคที่มีโอกาสเกิดในผู้สูงอายุที่ลูกหลานก็ต้องช่วยดูแลอย่างละเอียด เพื่อระมัดระวังไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจรุนแรงค่ะ
โรคเบาหวานเกิดจากความผิดปกติของร่างกายที่มีการผลิตฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ ส่งผลทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำเกินไป จนทำให้เกิดภาวะฉุกเฉินต่อร่างกายเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลได้อย่างเหมาะสม โดยปกติน้ำตาลจะเข้าสู่เซลล์ร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงาน แต่ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจะไม่สามารถนำน้ำตาลมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น

อาการ
กระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย อ่อนเพลีย และน้ำหนักตัวลดลงโดยไม่มีสาเหตุ นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ตาพร่ามัว ตาบอด ชาปลายมือปลายเท้า ไตเสื่อม และยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายอีกด้วย

การรักษา

การรักษาผู้ป่วยเบาหวานในประเภทที่ 1 จำเป็นต้องได้รับฮอร์โมนอินซูลินเข้าไปทดแทนในร่างกายด้วยการฉีดยาเป็นหลัก ควบคู่ไปกับการคุมอาหารและออกกำลังกายที่เหมาะสม ในขณะที่โรคเบาหวานประเภทที่ 2 หากเป็นในระยะแรกๆ สามารถรักษาได้ด้วยการรับประทานอาหารที่เหมาะสม การออกกำลัง และควบคุมน้ำหนัก หากอาการไม่ดีขึ้น แพทย์อาจให้ยาควบคู่ไปด้วยหรือฉีดอินซูลินเข้าไปทดแทนเช่นเดียวกับโรคเบาหวานชนิดที่ 1 สำหรับผู้เป็นโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ควรเข้าฝากครรภ์กับแพทย์ตั้งแต่ในระยะแรก พร้อมทั้งควบคุมอาหารที่รับประทานและออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์ นอกจากนี้ ในกรณีที่ผู้ป่วยเกิดแผลเบาหวานขึ้นที่เท้า แพทย์อาจให้ผู้ป่วยใส่อุปกรณ์ป้องกันแผล เช่น รองเท้าสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เฝือก หรือผ้าพันแผล เป็นต้น หากแผลเริ่มมีลักษณะรุนแรงขึ้น แพทย์อาจวางแผนการรักษาตามเหมาะสมขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของแผลเบาหวานที่เป็น ทั้งนี้ หากรักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้นแพทย์อาจต้องตัดอวัยวะทิ้งเพื่อป้องกันอาการลุกลาม

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
โรคเบาหวานเป็นโรคที่ส่งผลให้ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่าปกติ หากไม่มีการควบคุมในเรื่องของการรับประทานอาหารและดูแลรักษาสุขภาพอย่างถูกวิธี จนปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเป็นเวลานาน จะส่งผลต่อเส้นเลือดที่นำสารอาหารไปเลี้ยงอวัยวะในร่างกายและนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ทั้งโรคแทรกซ้อนชนิดที่เกิดกับเส้นเลือดขนาดเล็ก เช่น เบาหวานขึ้นตา โรคไต เป็นต้น หรือโรคแทรกซ้อนชนิดที่เกิดกับเส้นเลือดขนาดใหญ่ เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเส้นเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน เป็นต้น รวมไปถึงโรคแทรกซ้อนที่ระบบประสาทและที่สามารถทำให้ผู้ป่วยต้องสูญเสียอวัยะบางส่วน นอกจากนี้สตรีมีครรภ์ที่เป็นโรคเบาหวานจะเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะครรภ์เป็นพิษหรือการแท้งบุตรได้


โรคความดันโลหิตสูง

โรคความดันโลหิตสูง ถือเป็นโรคที่พบได้ในผู้สูงอายุค่อนข้างบ่อยเลยล่ะค่ะ แม้หลายคนคิดว่าเป็นความดันอาจจะไม่เป็นอะไรมาก แต่หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษา ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้นะคะ

โดยโรคความดันโลหิตสูง เป็นภาวะที่ตรวจพบค่าเฉลี่ยความดันตัวบนมากกว่า 140 และความดันตัวล่างมากกว่า 90 โดยผู้ป่วยเกินกว่าครึ่งมักจะไม่มีอาการใดๆ ที่กว่าจะรู้ตัวว่ามีความดันโลหิตสูง ก็เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้นแล้ว โดยเฉพาะโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก เกิดอัมพฤกษ์อัมพาตตามมา จนถึงขั้นเสียชีวิตได้

อาการ 

  • ปวดศีรษะบริเวณท้ายทอยในตอนเช้า คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศรีษะ ตามัว อ่อนเพลียและใจสั่น

  • อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน ทั้งโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก อัมพฤกษ์อัมพาต หรือเสียชีวิต


การรักษา
แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในด้านการรับประทานอาหารเบื้องต้น โดยการลดอาหารประเภทโซเดียมสูง เน้นรับประทานผักและผลไม้ที่มีกากใยสูง ธัญพืช ปลาที่อุดมไปด้วยกรดไขมันที่ดีต่อร่างกาย หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ประเภทเนื้อแดง ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและการใช้ยาร่วมด้วย เพื่อช่วยปรับค่าความดันโลหิตให้ลดลงอยู่ในระดับปกติ
ทั้งนี้ การรักษายังต้องคำนึงถึงชนิดของโรคด้วย เพราะหากเป็นชนิดที่ทราบสาเหตุ ผู้ป่วยมีโอกาสในการรักษาหายได้มากกว่าชนิดที่ไม่ทราบสาเหตุ

ภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันโลหิตสูง

หากปล่อยให้เกิดโรคความดันสูงเป็นระยะเวลานานและดูแลรักษาสุขภาพไม่ถูกต้อง อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา โดยมักจะพบโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดแดง โรคหลอดเลือดสมองโป่งพอง โรคไตเรื้อรัง เกิดความเปลี่ยนแปลงทางสมองในด้านความจำ มีปัญหาทางด้านสายตา หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ก่อให้เกิดความเสียหายจนถึงขั้นเสียชีวิต



โรคข้อเสื่อม

โรคข้อเสื่อม หรือ Osteoarthritis เป็นความผิดปกติของข้อที่พบได้บ่อยเมื่ออายุมากขึ้น และทำให้เกิดความเจ็บปวดหรือเคลื่อนไหวร่างกายลำบากสำหรับผู้สูงอายุเช่นคุณพ่อคุณแม่ของเรา โดยลักษณะของโรคจะเกิดจากกระดูกอ่อนผิวข้อถูกทำลายลงอย่างช้าๆ จนเป็นเหตุให้มีการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างของข้อ เช่น มีน้ำสะสมในข้อเพิ่มขึ้น กระดูกงอกผิดปกติ กล้ามเนื้อและเอ็นรอบข้อหย่อนยาน การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดดังกล่าวจะทำให้เคลื่อนไหวข้อได้จำกัด โรคข้อเสื่อมมักพบได้บ่อยในตำแหน่งของข้อที่ต้องรับน้ำหนักมาก เช่น ข้อเข่า ข้อสะโพก ข้อต่อกระดูกสันหลัง

อาการ
ผู้ที่เป็นโรคข้อเสื่อม จะมีอาการเจ็บปวดของข้อและข้อบวม อาการข้อขัด หรือรูปร่างขาโก่งผิดปกติ เหยียดขาได้ไม่สุด โดยเฉพาะคนที่เล่นกีฬาหนักๆ หรือคนที่มีน้ำหนักตัวมากอาจเป็นตัวส่งเสริมให้ข้อเข่าเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น

การรักษา
น่าเสียดายนะคะ ที่ไม่มีวิธีใดที่รักษาโรคข้อเสื่อมให้หายขาดได้ จุดประสงค์ของการรักษาจึงมุ่งไปที่การลดและบรรเทาอาการต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของอาการ หากโรคข้อเสื่อมไม่รุนแรงมากนัก ผู้ป่วยอาจบรรเทาอาการได้โดยการเลือกสวมรองเท้าที่เหมาะสม ออกกำลังกายเบาๆ เช่น การเดิน การว่ายน้ำ ลดน้ำหนัก (สำหรับผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก) ใช้อุปกรณ์ช่วยลดอาการตึงบริเวณข้อต่อ หรือลดกิจกรรมที่ทำให้มีอาการปวด



โรคกระดูกพรุน


เวลาพี่เรนนี่นึกถึงโรคนี้ทีไร ก็มักนึกถึงยี่ห้อนมเสริมแคลเซียมชื่อดังยี่ห้อหนึ่งทุกที ที่มักใช้พรีเซนเตอร์เป็นผู้หญิง นั่นก็เป็นเพราะว่าโรคกระดูกพรุนมักพบในผู้หญิงสูงอายุนั่นเอง โดยเฉพาะวัยหมดประจำเดือนซึ่งมีการทำงานของฮอร์โมนลดลง จึงส่งผลทำให้กระดูกมีความหนาแน่นน้อยลง กระดูกบางและเปราะหักง่ายขึ้น

อาการ

โดยส่วนมากโรคกระดูกพรุนมักจะไม่มีอาการที่ชัดเจน แต่เป็นการตรวจพบโดยบังเอิญเมื่อตรวจสุขภาพในผู้สูงวัย หรือบางรายอาจพบการปวดหลังและสะโพกโดยมักเป็นตอนกลางคืนและตอนเปลี่ยนท่าทาง 
ที่สำคัญในรายที่กระดูกบาง หากเกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยก็นำไปสู่การเกิดกระดูกหักได้ง่าย โดยเฉพาะกระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก กระดูกข้อมือ นอกจากนี้โรคกระดูกพรุนอาจทำให้หลังค่อมและความสูงลดลงได้อีกด้วย
เมื่อเกิดโรคกระดูกพรุน ปัญหาที่ตามมาก็คือความเจ็บปวดจากภาวะกระดูกทรุดตัวและอาการปวดหลัง ซึ่งส่งผลให้เคลื่อนไหวได้อย่างจำกัด มีความสามารถในการทำกิจกรรมต่างๆ ลดลง โดยเฉพาะกิจกรรมนอกบ้านหรือการเข้าสังคม จึงอาจทำให้ผู้ป่วยเก็บตัวหรือแยกตัวออกจากสังคม และอาจทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าต่อไปได้
นอกจากนี้ หากเกิดอาการกระดูกหัก โดยเฉพาะการแตกหักบริเวณกระดูกสะโพก จะทำให้ผู้ป่วยเดินไม่ได้ ขยับตัวลำบากเพราะความเจ็บปวด ต้องนั่งหรือนอนอยู่กับที่ตลอดเวลา ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดโรคและอาการแทรกซ้อนที่อาจเป็นเหตุให้เสียชีวิตได้ อย่างการเกิดแผลกดทับ หรือโรคติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

การรักษา

เนื่องจากโรคกระดูกพรุนเกิดจากภาวะกระดูกเสื่อมที่มาจากหลายสาเหตุ วิธีรักษาจะเป็นการกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก และลดการทำงานของเซลล์สลายกระดูก ด้วยวิธีต่อไปนี้ค่ะ :

การดูแลสุขภาพและบำรุงกระดูก: บำรุงกระดูกและดูแลร่างกายให้กลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงโดยรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีนและมีค่าความเป็นกรดสูง หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหรือการเคลื่อนไหวที่ต้องใช้แรงกายอย่างหักโหม รวมถึงควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม

การเสริมแคลเซียม: รับประทานยาเม็ดเสริมแคลเซียมและรับวิตามินดีที่ช่วยเสริมสร้างการดูดซึมแคลเซียม รวมทั้งรักษาระดับแคลเซียมในกระแสเลือด เพื่อรักษามวลกระดูกให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยอาจสังเคราะห์วิตามินดีได้เองทางผิวหนังด้วยการรับแสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้า

การใช้ยารักษา: อาจใช้ยา เช่น ยาอะเลนโดรเนท ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเซลล์สลายกระดูก ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมแคลเซียมไปใช้ในกระบวนการสร้างกระดูกเพิ่มขึ้น, ยาไรซีโดรเนท ซึ่งออกฤทธิ์ต่อเนื้อเยื่อกระดูก ลดอัตราการสลายตัวของกระดูก และเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก, ยาไอแบนโดรเนท ซึ่งออกฤทธิ์ยับยั้งการสลายกระดูกเช่นกัน โดยมีทั้งแบบเป็นเม็ดรับประทานและแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หรือฉีดกรดโซลิโดรนิกเข้าทางหลอดเลือดดำ เพื่อลดการทำงานของเซลล์สลายกระดูก ออกฤทธิ์ยับยั้งการปล่อยแคลเซียมสู่กระแสเลือด และป้องกันภาวะแคลเซียมในเลือดสูง เป็นต้น

การเพิ่มฮอร์โมน: โดยเพิ่มระดับฮอร์โมนบางชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างกระดูก อย่างการฉีดหรือให้ยาเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจนแก่ผู้ป่วยเพศหญิงที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือนหรือผ่าตัดมดลูกและรังไข่ออกไป ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ในระดับปกติ ยาฮอร์โมนที่ใช้ก็เช่นยาราลอคซิฟีน เป็นต้น ซึ่งยานี้มีฤทธิ์ป้องกันการดูดซึมแคลเซียมออกจากกระดูก ช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้กระดูกแตกหักง่าย รวมถึงอาจมีผลรักษาและป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมบางชนิดด้วย แต่ผลข้างเคียงหลังใช้ยาก็คือ ผู้ป่วยอาจมีอาการร้อนวูบวาบ ครั่นเนื้อครั่นตัว และมีความเสี่ยงในการจับตัวจนเกิดลิ่มเลือดอุดตันมากขึ้น

นอกจากนี้ มีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับโปรตีนถั่วเหลืองแล้วพบว่า ในถั่วเหลืองมีโปรตีนไอโซฟลาโวน (Isoflavones) ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเนื้อเยื่อกระดูก เมื่อทำงานร่วมกับแคลเซียม จะช่วยป้องกันภาวะกระดูกเสื่อมและลดอัตราการแตกหักของกระดูกได้


เห็นความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากโรคต่างๆ แล้ว พี่เรนนี่ก็ต้องรีบตั้งสติ แล้วหันไปใส่ใจดูแลคุณพ่อคุณแม่ด่วนๆ โดยเฉพาะการซื้อประกันสุขภาพเอาไว้ให้คุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่เนิ่นๆ ตอนที่ท่านยังไม่ได้เป็นโรคเหล่านี้ ก็ทำให้ได้รับความคุ้มครองครบตามต้องการ (เพราะประกันจะไม่คุ้มครองโรคที่เป็นอยู่ หรือเกิดขึ้นก่อนการทำประกัน) แถมค่าเบี้ยตามอายุก็ไม่แพงจนเกินไปอีกด้วย ฉะนั้นแล้ว กันไว้ดีกว่าแก้ จะดีที่สุดนะคะทุกคน!




อ้างอิงจาก :

https://www.sikarin.com

- https://www.pobpad.com

 
เกี่ยวกับผู้เขียน
พี่เรนนี่
สาวโสดสุดเฉี่ยววัย 38 ปี ผู้เป็นตัวแทนของสาวยุคใหม่ที่พกความมั่นใจมาเต็มกระเป๋า ใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง Work hard play harder จบปริญญาโทสาขาคณิตศาสตร์ประกันภัยจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของต่างประเทศ และทำงานสายประกันมานานจนใครๆก็ต่างยกให้พี่เรนนี่ เป็นกูเกิ้ลสำหรับประกันไปเลย

แท็กที่เกี่ยวข้อง

#โรคเสี่ยงสูงวัย
#โรคคนแก่
#โรคคนสูงอายุ
#โรคเสี่ยงคนแก่
#โรคเสี่ยงคนสูงอายุ
แนะนำสำหรับคุณ

ประกันที่ใกล้เคียง

Loading...
Loading...
Loading...
รอสักครู่